การศึกษาเรื่องราวของพระเครื่อง ประเภทเหรียญพระพุทธ และเหรียญพระคณาจารย์รุ่นเก่าๆ นั้น มีค่านิยมสูงมาก การทำปลอม จึงพัฒนาวิธีการทำให้ใกล้เคียงกับของแท้ยิ่งขึ้น โดยวิธีการที่ง่าย และเป็นที่นิยมที่สุด คือ การนำเหรียญแท้ไปถอดพิมพ์ ซึ่งจะทำให้ได้เหรียญปลอมที่มีจุดตำหนิทั้งด้านหน้าและด้านหลังใกล้เคียงกับ ของจริงมาก
อย่างไรก็ตาม ความคมชัดของตัวหนังสือ เส้นแตก รูเจาะหูเหรียญ ตลอดจนด้านข้างของเหรียญ ก็ยังเป็นจุดสำคัญ ที่สามารถใช้ในการพิจารณาความแตกต่างระหว่างเหรียญแท้และเหรียญปลอมได้อย่าง ชัดเจนที่สุด
ในอดีตผู้สนใจศึกษาพระเครื่องประเภท เหรียญพระพุทธ และเหรียญพระคณาจารย์ หลายคนเลือกที่จะใช้วิธีการจดจำรายละเอียดที่สำคัญของตำหนิเหรียญทั้งหมด ซึ่งในพระเหรียญ 1 เหรียญอาจจะมีจุดตำหนิให้จดจำมากถึง 10 จุด นั่นหมายความว่า หากเราต้องเรียนรู้เหรียญ 100 เหรียญ เราจะต้องจดจำตำหนิทั้งหมดถึง 1,000 จุด เลยทีเดียว
ดังนั้น แทนที่จะใช้วิธีการจดจำตำหนิทั้งหมด มีเทคนิคที่ใช้ในการศึกษาเหรียญแต่ละเหรียญ ด้วยวิธีการที่ง่ายกว่านั้น นั่นก็คือ การศึกษาธรรมชาติของเหรียญ โดยอาศัยหลักพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่
1.ความคมชัดของตัวหนังสือ หรืออักขระยันต์
2.พื้นผิวของเหรียญที่เรียบตึง ไม่มีร่องรอยของการถอดพิมพ์ ไม่มีขี้กลาก
3.การเจาะรูหูเหรียญ ต้องมีเนื้อปลิ้นเกินที่เป็นธรรมชาติ
4.วิวัฒนาการของการตัดขอบเหรียญ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีในแต่ละยุคสมัย
ทั้ง 4 ประการนี้ ถือเป็นจุดที่ใช้ในการพิจารณาเหรียญว่าแท้หรือปลอม ได้ชัดเจนยิ่งกว่าการจดจำตำหนิ
ที่สำคัญ ยังสามารถนำไปใช้ในการพิจารณาได้ทุกเหรียญ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญในยุคสมัยใดก็ตาม เพราะถึงแม้ว่ากรรมวิธีการทำปลอมในปัจจุบันจะสามารถทำได้ใกล้เคียงกับของ จริงแค่ไหน แต่ธรรมชาติของการผลิตเหรียญแต่ละยุค ย่อมมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การซื้อ-ขายเหรียญในปัจจุบัน ผู้ชำนาญการจะใช้วิธีการพิจารณาด้านข้างของเหรียญเป็นบทสรุปว่า แท้หรือไม่
เพราะ…ขอบด้านข้างของเหรียญเป็นสิ่งเดียวที่ยังไม่สามารถปลอมแปลงได้เหมือน
เนื่องจากร่องรอยที่ด้านข้างของเหรียญนั้น คือ ร่องรอยที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากขั้นตอนการผลิตในแต่ละยุคสมัย อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหรียญต่างๆ ตามข้อสังเกต 4 ข้อข้างต้นนั้น จะต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อไปเช่าหาเหรียญมาศึกษา อีกทั้งเหรียญที่เป็นที่นิยมของวงการ ล้วนแล้วแต่เป็นเหรียญที่มีราคาแพง ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านแทบทั้งสิ้น
ปัญหาจุดนี้ มีแนวทางที่ประหยัดกว่า และน่าสนใจ สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาแต่มีทุนน้อย นั่นก็คือ ให้ใช้วิธีไปเช่าเหรียญเก่าที่วงการไม่นิยม และมีราคาไม่แพงแทน เพื่อนำมาศึกษาธรรมชาติของเหรียญที่เกิดจากวิวัฒนาการในการปั๊ม และการตัดขอบเหรียญ
เพราะเหรียญที่ออกมาในยุคสมัยที่ใกล้เคียงกัน ย่อมจะมีขั้นตอนการผลิตที่คล้ายคลึงกัน อาจจะแตกต่างกันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา ทำความเข้าใจ ผมจึงจำแนกเหรียญต่างๆ ตามกรรมวิธีการปั๊มตัดข้างเหรียญ โดยแบ่งออกเป็นออก 3 ยุคสำคัญ คือ
- ยุคที่ 1.ประมาณ พ.ศ.2440-2485
- ยุคที่ 2.ประมาณ พ.ศ.2486-2499
- ยุคที่ 3.ประมาณ พ.ศ.2500-ปัจจุบัน
1. ช่วงปี พ.ศ.2440-2485 เป็นช่วงที่นิยมสร้างเหรียญลักษณะรูปทรงกลม รูปไข่ รูปทรงอาร์ม และทรงเสมา ซึ่งรูปทรงเหรียญทั้ง 4 ชนิดนี้ สามารถแยกตามกรรมวิธีการสร้างได้เป็น 2 ชนิด คือ
- เหรียญชนิดปั๊มข้างเลื่อย คือ การนำแผ่นโลหะที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดของเหรียญมาปั๊มให้ได้ตามลักษณะรูปทรง ที่ต้องการ จากนั้นจึงนำไปเลื่อยฉลุให้สวยงามออกมาเป็นเหรียญตามรูปทรงนั้นๆ เหรียญในยุคนี้เช่น เหรียญหลวงพ่อโสธรปี 2460 หลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง ปี 2467
- เหรียญชนิดปั๊มข้างกระบอก คือ การนำแผ่นโลหะมาเลื่อยให้ได้ตามรูปทรงของเหรียญที่จะทำการปั๊ม เพื่อเข้ากระบอก(บล็อกรูปทรงของเหรียญนั้นๆ) และการปั๊มเหรียญนั้นๆ ดังนั้น ด้านข้างของเหรียญปั๊มชนิดนี้จึงมีความเรียบเนียน เนื่องจากการกดปั๊มโดยมีตัวกระบอกเป็นตัวบังคับ เหรียญในยุคนี้เช่นเหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สร้างปี 2466 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บางเหรียญอาจมีเส้นทิวบางๆ ในขอบข้างเหรียญ ซึ่งเกิดจากการแต่งขอบให้สวยงามก็ได้
2.เหรียญ ชนิดปั๊มข้างตัดโบราณ (ปั๊มตัดยุคเก่า 2485-2500) เนื่องจากการสร้างชนิดแบบเก่าที่มีการเข้ากระบอก และแบบเลื่อยขอบ มีความยุ่งยากและเสียเวลา อีกทั้งในช่วงนี้เริ่มมีวิวัฒนาการในการสร้างเหรียญปั๊มขึ้นมาตลอด เครื่องจักรก็เริ่มมีความทันสมัยขึ้น ทางโรงงานได้มีการทำตัวตัดขึ้นเพื่อความสะดวกในการตัดเหรียญให้ขาดโดยไม่ ต้องมาเลื่อยให้เสียเวลาอีก แต่การปั๊มเหรียญและตัดในยุคนี้นั้นจะแตกต่างกับเหรียญในปัจจุบันคือ ด้านข้างของเหรียญจะมนๆ ไม่ค่อยมีริ้วรอยมากนัก อีกทั้งเหรียญช่วง พ.ศ.นี้ ลักษณะของเหรียญด้านหน้าจะนูนเล็กน้อย แต่ด้านหลังจะเป็นแอ่งกระทะ ซึ่งเกิดจากการปั๊มและตัดเหรียญนั่นเอง ตัวอย่างของ พระเหรียญ ที่สร้างขึ้นในยุคนี้คือเหรียญหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง บล็อกยันต์วรรค ปี 2486 และเหรียญหลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน เป็นต้น
3. เหรียญปั๊มตัดยุคใหม่ พ.ศ. 2500-ปัจจุบัน ในยุคนี้ได้มีการพัฒนาตัวตัดด้านข้างเหรียญที่ทันสมัย เพื่อความสะดวกในการตัดเหรียญในจำนวนมากๆ การพัฒนาตัวตัดยุคนี้จึงค่อนข้างคมชัด บางครั้งในเหรียญหลวงพ่อเดียวกันมีตัวตัด 2 ตัว เนื่องจากการสร้างเหรียญในแต่ละครั้งมีจำนวนมากขึ้น เช่น เหรียญหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2500 ด้วยเหตุนี้ตัวตัดในยุคนี้จึงค่อนข้างคมเพื่อสะดวกในการตัดเหรียญจำนวนมากๆ
นับ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีผู้จัดทำหนังสือชี้ตำหนิด้านหน้า-ด้านหลังของเหรียญออกมาแล้วมากมาย หลายต่อหลายเล่ม แต่การเจาะลึกถึงรายละเอียดวิธีการพิจารณาด้านข้างของเหรียญ ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ และเป็นบทสรุปความจริง-ปลอมของเหรียญแบบนี้นั้น แทบจะไม่เคยปรากฏในหนังสือเล่มใดเลย
ดังนั้น พระเกจิดอทคอม จึงจะนำเสนอขอบเหรียญของพระเหรียญแบบต่างๆไว้ให้ท่านได้ศึกษากันครับ
ที่มา:
http://www.komchadluek.net/detail/20090427/10647/%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88…%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A.html#.UbgceNicHNM
http://board.palungjit.org/f128/%40%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87%40-298983.html